Lanna Special » วิกฤตสารพิษปนเปื้อนน้ำกก บททดสอบการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมของไทยและนานาชาติ ท่ามกลางทุกข์ชาวบ้านที่รอนานไม่ได้

วิกฤตสารพิษปนเปื้อนน้ำกก บททดสอบการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมของไทยและนานาชาติ ท่ามกลางทุกข์ชาวบ้านที่รอนานไม่ได้

30 พฤษภาคม 2025
13   0

วิกฤตสารพิษปนเปื้อนน้ำกก บททดสอบการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมของไทยและนานาชาติ ท่ามกลางทุกข์ชาวบ้านที่รอนานไม่ได้

เชียงใหม่ 26 พ.ค. 68 วันก่อนมีโอกาสติดตามเวทีสะท้อนข้อมูลและความเห็นของประชาชนและผู้เกี่ยวข้องที่มีต่อกรณีสารพิษปนเปื้อนเกินมาตรฐานในน้ำกก ที่ต้นสายปลายเหตุเกิดนอกราชอาณาจักรไทย แต่ประชาชนคนไทยได้รับผลกระทบนั้น ในรายการฟังเสียงประเทศไทย ตอน เราจะอยู่กันแบบนี้ใช่ไหม ? สารพิษข้ามแดน แม่น้ำกก – แม่น้ำสายวัน เสาร์ 24 พฤษภาคม 2568 ทางไทยพีบีเอส ทำให้มีแง่มุมหลากหลายชวนคิดและเชื่อว่าจะเป็นอีกประเด็นสำคัญด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ถูกหยิบยกต้อนรับวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายนนี้ด้วย

จากข้อมูลพบว่า การทำเหมืองทองคำหรือเหมืองแร่หายากบริเวณต้นน้ำแม่กก ในประเทศเมียนมามีแนวโน้มสูงที่จะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำ ผ่านการปนเปื้อนโลหะหนัก การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมีของน้ำ ซึ่งนำไปสู่ผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวม โดย รศ.ดร.อภินันท์ สุวรรณรักษ์ อาจารย์จากคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ระบุไว้ว่า จะต้องมีการศึกษาและติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำและสุขภาพของสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลกระทบเบื้องต้นดังนี้

1. การปนเปื้อนโลหะหนัก กระบวนการทำเหมืองทองคำมักเกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมี เช่น ไซยาไนด์ และอาจปล่อยโลหะหนักต่าง ๆ เช่น ปรอท สารหนู ตะกั่วและแคดเมียม ลงสู่แหล่งน้ำจะมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทันที โลหะหนักเหล่านี้สามารถสะสมในตัวสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำ ผ่านห่วงโซ่อาหาร(bioaccumulation) ทำให้เกิดความเป็นพิษเรื้อรัง ลดอัตราการเจริญเติบโต การสืบพันธุ์และอาจทำให้ถึงตายได้ สัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่น แมลงน้ำและแพลงก์ตอน จะได้รับผลกระทบก่อนและส่งผลต่อเนื่องไปยังสัตว์น้ำที่ใหญ่ขึ้น เช่น ปลา ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของสัตว์อื่นๆ และมนุษย์ ซึ่งมีรายงานการตรวจพบสารหนูในแม่น้ำกกเกินค่ามาตรฐานเกือบตลอดสาย ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการทำเหมืองในบริเวณต้นน้ำอย่างมีนัยสำคัญ

2. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของแหล่งน้ำ การทำเหมืองอาจทำให้เกิดการชะล้างตะกอนดินและแร่ธาตุลงสู่แม่น้ำ ทำให้

  • 2.1 ความขุ่นของน้ำเพิ่มขึ้น แสงแดดส่องผ่านน้ำได้น้อยลง ส่งผลต่อการสังเคราะห์แสงของพืชน้ำและสาหร่าย ซึ่งเป็นฐานของห่วงโซ่อาหาร
  • 2.2 การเปลี่ยนแปลงของตะกอนพื้นท้องน้ำ ตะกอนที่เพิ่มขึ้นอาจถมทับแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ตามพื้น เช่น สัตว์หน้าดินต่างๆ

3. การเปลี่ยนแปลงทางเคมีของน้ำ นอกจากการปนเปื้อนโลหะหนักแล้ว การทำเหมืองอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่า pH ของน้ำ และปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในน้ำ

4. ผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวม การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมีของน้ำ รวมถึงการปนเปื้อนสารพิษ จะส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำ ทำให้จำนวนและความหลากหลายของชนิดพันธุ์ลดลง ระบบนิเวศขาดความสมดุล

ด้าน อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ระบุว่า ต้นเหตุของปัญหามาจากการเปิดหน้าดินทำเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้เกิดปัญหามีผลกระทบชัดเจนจึงอยากให้มีการตรวจสอบสารโลหะหนักในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวกและแม่น้ำโขงอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบสารโลหะหนักที่จังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ยังเสนอให้รัฐบาลเร่งเจรจาหลายฝ่าย ทั้งรัฐบาลเมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์พื้นที่และรัฐบาลจีน ที่มีบริษัทเอกชนเข้าไปรับสัมปทานเหมืองต้นเหตุ ทางออกที่เป็นไปได้คือ การปรับปรุงเหมืองให้ได้มาตรฐาน หรือปิดเหมืองอย่างถาวรและฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเร่งด่วน

ณ เวลานี้สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะข้อมูลการตรวจสารโลหะหนัก หน่วยงานราชการมักจะผูกขาดการตรวจสอบและการสื่อสารข้อมูล ทำให้เกิดความล่าช้า ควรส่งเสริมให้ประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถเข้าถึงชุดตรวจคุณภาพน้ำได้ด้วยตนเอง การทำงานร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษาในพื้นที่กับกรมควบคุมมลพิษจะช่วยให้การตรวจสอบรวดเร็วและต่อเนื่องยิ่งขึ้น ดังนั้นการจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำถาวรประจำจังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามตรวจสอบในระยะยาว เนื่องจากโลหะหนักสามารถสะสมอยู่ได้นานหลายปี

 

การเจรจาระหว่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ควรใช้กลไกคณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือ ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน ควรเข้ามาจัดการปัญหาในเบื้องต้น นอกจากนี้คณะกรรมการแม่น้ำโขงล้านช้าง ซึ่งจีนมีส่วนร่วมก็ควรมีบทบาทในการแก้ไขปัญหานี้เพราะเป็นปัญหาระดับนานาชาติมิใช่แค่ไทยหรือเมียนมา ในเวทีเห็นพร้อมกันว่าปัญหานี้ทางสหประชาชาติก็ควรเข้ามาร่วมแก้ไขด้วย ส่วนมาตรการรับมือและการจัดการความเสี่ยง รัฐบาลควรมีมาตรการเตรียมพร้อมและจัดการความเสี่ยงหากเกิดสถานการณ์มลพิษรุนแรง เช่น การประกาศแจ้งประชาชนและมาตรการ 1-2-3-4 เพื่อรับมือ ควรมีระบบมอนิเตอร์ออนไลน์บริเวณชายแดนที่เป็นจุดอ่อนไหว เพื่อเฝ้าระวังคุณภาพน้ำตลอดเวลา

ดร.สืบสกุล ที่ติดตามเรื่องนี้มาต่อเนื่องล่าสุดได้โพสต์จดเปิดผนึกผ่าน Facebook ส่วนตัว เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหานี้พร้อม้รียกร้องขอความอนุเคราะห์เครื่องมือเบื้องต้นในการตรวจสอบ โดยอาสารับทำการลงพื้นที่ตรวจสอบสารปนเปื้อนเพื่อสร้างความเชื่อมันและเตรียมพร้อมของภาคประชาชนด้วย (https://www.facebook.com/share/p/1BwYmaGZn7/)

ขณะที่ชาวอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ติดแม่น้ำกกและถือเป็นลำน้ำสายสำคัญที่มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างมาก โดยพื้นที่มีศักยภาพทางเกษตรสูงและมีพืชเศรษฐกิจขึ้นชื่อทั้ง ส้มสายน้ำผึ้ง, พริก, ลิ้นจี่ (โดยเฉพาะลิ้นจี่จักรพรรดิ), กระเทียมและมะม่วง เป็นต้น รวมทั้งตำบลท่าตอน ที่ขึ้นชื่อเรื่องการท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรม เช่น วัดท่าตอน (ที่มีพระเจดีย์แก้ว), ดอยฟ้าห่มปก (อุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก), โครงการร้อยใจรักษ์ และมนต์เสน่ห์อีกหลายด้าน เเต่ปีนี้กลับเงียบซบเซาทันทีนับตั้งแต่สวกรานต์ที่ผู้คนทราบปัญหาพบสารปนเปื้อนในน้ำกก ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าที่นี้เล่าว่า นอกจากไม่มีคนมาเที่ยวแล้ว ยังต้องเเบกรับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะการซื้อน้ำเพื่อมาทำความสะอาดภาชนะรวมถึงใช้อุปโภคบริโภค ซึ่งชาวบ้านก็แบกรับภาระเรื่องนี้ไปด้วตอนนี้ต่างแสดงออกถึงความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด หน่วยงานที่ดูแลก็เงียบเฉยขาดการสื่อสารข้อมูลต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้มีหน่วยงานเข้ามาเก็บตัวตัวอย่างพืชผลทางการเกษตร สัตว์น้ำ แต่ก็ยังไม่ได้รายงานผลให้ชาวบ้านทราบเป็นทางการมีแต่ข่าวที่ออกมา

ชาวบ้านระบุว่า ได้พยายามร้องเรียนและแจ้งเรื่องไปยังหน่วยงานภาครัฐส่วนต่างๆในพื้นที่หลายครั้ง แต่กลับได้รับเพียงคำตอบที่คลุมเครือหรือไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน ต้องรอผลตรวจสอบจากส่วนกลางยืนยัน ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่า กำลังถูกทอดทิ้งและไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างจริงจังพวกเขามองว่า น้ำคือชีวิต เมื่อน้ำมีปัญหาชีวิตก็มีปัญหาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความจริงจังจริงใจในการเข้าดูแลทุกข์ของประชาชนเรื่องนี้ยังน้อยเกินไป ชาวบ้านลั่มน้ำกกสะท้อนเสียงเดียวกันว่า

“มันไม่ใช่แค่ปัญหาของคนในพื้นที่ แต่มันคือปัญหาของประเทศชาติและนานาชาติ ถ้าเราปล่อยให้ปัญหามันหนักกว่านี้ อนาคตลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร รัฐบาลควรต้องเร่งเจรจาไม่ใช่จะสร้างเขื่อนดักตะกอน แล้วตะกอนสารพิษจะเอาไปทิ้งไหน แล้วยังใช้ภาษีเรามูลค่ามหาศาลด้วยจริงหรือไม่ก็ไม่รู้เพราะทราบแต่ข่าวที่ออกมา แต่ชาวบ้านก็ต้องกินต้องอยู่ทุกวันเรื่องแบบนี้เราไม่ได้” แม่น้ำกก ที่ไหล่ผ่านที่ท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่เเค่เพียง 13 กิโลเมตร ก่อนที่จะไหล่เข้าสู่จังหวัดเชียงราย แต่น้ำกก เป็นศูนย์กลางของชีวิตประชาชน เป็นแหล่งรายได้ แหล่งอาหาร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณและวิถีวัฒนธรรมของคนท่าตอน วันที่ 5 มิถุนายน เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ชาวบ้านในพื้นที่ ท่าตอน อำเภอแม่อายจังหวัดเชียงใหม่ได้นัดรวมตัวกันเพืีอส่งเสียง เคลื่อนไหวทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เพื่อเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้มีความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ โดยเฉพาะการ การเจรจาระหว่างประเทศเพื่อให้มีการหยุดการทำเมือง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหานี้

ปัญหานี้จะมีทางออกอย่างไรทุกข์ของชาวบ้าน ทุกข์ของสิ่งแวดล้อม จะได้รับความสนใจหรือใส่ใจทั้งในและต่างประเทศมากน้อยเพียงไหน ถือเป็นบทพิสูจน์สำคัญและเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อน ต้อนรับวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้